ตอกย้ำความคลาสสิคของ Converse ที่อยู่มาแล้วในทุก Culture ตั้งแต่ กีฬา, ดนตรี, ภาพยนตร์ และแฟชั่น

.

อิทธิพลของ Converse ที่มีผลต่อ Sport Culture.

Basketball

แรกเริ่มเดิมทีบริษัทผลิตเพียง "รองเท้าบูทยางสำหรับฤดูหนาว" (galoshes shoes) เริ่มก่อตั้งขึ้นในปี 1908 ที่รัฐ Massachusetts ในประเทศอเมริกา สิบปีต่อมาในปี 1917 ผันมาทำรองเท้า “ผ้าใบ” สำหรับเล่นกีฬากระแสความสนใจจึงเริ่มเกิดขึ้น  Converse ตัดสินใจทำรองเท้าเล่นฟุตบอลและบาสเก็ตบอลออกมากับเขาเหมือนกันในชื่อ “Converse All-Star” จนมาดังพลุแตกในวันที่นาย “Chuck” Taylor  นักบาสเก็ตบอลผู้หลงรักในการใส่รองเท้า All Star ในตำแหน่งพนักงานขายควบคู่ไปกับการเป็น Brand Ambassador ในเวลาเดียวกันครับ และคิดค้นการติดสัญลักษณ์รูปดาวตรงข้อเท้า ถือกำเนิดรองเท้า Converse Chuck Taylor All-Star ทรงหุ้มข้อที่เราคุ้นตากันดีถึงทุกวันนี้ …สิ่งสำคัญที่ Chuck เข้ามาออกแบบให้ในแง่ความเป็นรองเท้ากีฬาก็คือ การเปลี่ยนพื้นรองเท้าที่ช่วยทำให้สามารถเคลื่อนไหวกระโดดหรือวิ่งได้คล่องตัวยิ่งขึ้น และจุดเล็กๆน้อยๆที่ถือเป็นความฉลาดของรองเท้า Chuck Taylor มากๆ คือการดัดแปลงนำเอารูร้อยเชือกรองเท้ามาเพิ่มไว้ตรงส่วนด้านข้างสองรู เพื่อช่วยในการระบายอากาศไม่ทำให้รู้สึกอึดอัดเวลาที่นักกีฬาต้องใส่เล่นบาสนานๆ กลายเอกลักษณ์ที่มองเห็นแล้วรู้ทันทีว่าเป็น Converse และยิ่งถูกยกย่องขึ้นไปอีกขั้น ด้วยความเป็นรองเท้าที่เข้าใจหัวอกนักบาสอย่างดีนี่เอง ทำให้ชื่อ Converse เขยิบขึ้นเป็นรองเท้าบาสขายดีแซงหน้าแบรนด์อื่นๆในเวลานั้นขาดลอย… เมื่อ Olympic Games ที่ Berlin ได้บรรจุกีฬาบาสเกตบอลเป็นครั้งแรกและ แน่นอนว่า Converse เป็นผู้สนับสนุนหลักให้ทีมชาติอเมริกา จึงเกิดเป็นรองเท้าคู่สีขาวขอบยางสีแดงน้ำเงิน ที่มีแรงบันดาลใจจากสีของธงชาติสหรัฐอเมริกาและ ได้กลายมาเป็นอีกหนึ่งสีคลาสสิคที่ได้รับความนิยมสูงที่สุด ขนาดที่ว่านักกีฬาบาสเลือกที่จะใส่ All-Star หุ้มข้อกันหมด! ใส่ยี่ห้อเดียวกันรุ่นเดียวกันทั้งสนาม นอกจากจะเป็นตัวแทนในด้านการกีฬาแล้ว Converse ยังเป็นกำลังหลักในการทำรองเท้าให้รั้วของชาติช่วงสงครามโลกครั้งที่สองด้วย…นี่มันเรียกได้ว่าเป็นอีก Culture ไปแล้ว! นอกจาก Converse ในยุคแรกๆจะมี Chuck Taylor All-Star 

.

Badminton

พวกเขายังมีอีกหนึ่งไม้ตายเด็ด เป็นรุ่นที่ตีคู่กันมาติดๆเลยก็คือ “Jack Purcell” ออกแบบโดยนาย John Edward “Jack” Purcell เริ่มเล่นแบตมินตันมือสมัครเล่นในปี 1924 จากนั้นในปี 1927 เขาได้รับรางวัล Ontario Badminton Championship (Bon) เป็นเวลา 5 ปีซ้อนและได้ตำแหน่ง Canadiann National Champion พร้อมออกแบบผลิตภัณฑ์กีฬาของบริษัท Spalding เดิมที Jack Purcell เป็นรองเท้าผ้าใบของบริษัท B.F.Goodrich คิดค้นที่จะผลิตรองเท้าและพัฒนารองเท้าเพื่อ support เท้าของผู้สวมใส่ในการเล่นกีฬาหรือใส่ลำลอง โดยในช่วงปี 1920 ได้เริ่มทำรองเท้าผ้าใบ และในวันที่ 5 ธันวาคม 1933 Mr.Hyman L Whitman ได้รับสิทธิบัตรฉบับที่ 1938127 ในการออกแบบผลิต Soft รองเท้าเทคโนโลยี "P.F" (posture foundation) เพื่อการผลิตรองเท้านั่นเอง แล้วภายหลัง Converse ค่อยไปซื้อลิขสิทธิ์มาเป็นของตัวเอง ทำให้ในปี 1935 โมเดล Converse Jack purcell จึงถือกำเนิดขึ้น นับเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องอย่างมาก เพราะด้วยดีไซน์ความเรียบง่ายกับเอกลักษณ์พื้นรองเท้าสีฟ้าอ่อน ซึงแตกต่างจากของยี่ห้ออื่นก็คือที่ตรงกลางพื้นจะนูนขึ้นมา โดยเรามักเรียกแจ็ครุ่นเก่าหรือเห็นว่าเป็นซอฟยางแต่ที่จริงแล้วยางที่แปะด้านบนนั้นบางมาก โดยตัวซอฟจริง ๆ เป็นซอฟผ้าสี แล้วมีการใส่เทคโนโลยีไปตรงกลางแล้วแปะด้วยยางอีกชั้น และขีดดำหัวรองเท้าที่มีแต่คนหลงใหล ทำให้ Jack Purcell คืออีกหนึ่ง Converse ที่คนชอบใส่ไม่แพ้ Chuck Taylor All-Star เลยทีเดียว.

.

Skateboard

มีหลากหลายคนเริ่มรู้จัก Converse จากการที่เป็นรองเท้าเล่นสเก็ตบอร์ด แต่เหลือจะเชื่อว่ารองเท้า One Star ที่เป็นตัวจุดกระแสให้ Converse หันมาทำซีรีส์ CONS(รองเท้าที่ผลิตครั้งแรกในปี 2009 เพื่อผู้เล่น Skateboard โดยเฉพาะ) มาจากการแข่งขันที่สูงขึ้นในช่วงปี 1974 โดยเลือกพัฒนารองเท้า All Star OX ในแบบหุ้มส้นที่วางจำหน่ายในปี 1971 แต่นำเสนอวัสดุพรีเมียมอย่างหนังและหนังกลับ มีระบบรองรับแรงกระแทกที่ดีขึ้นกว่าเดิม และดีไซน์ให้โลโก้ดาวขนาบด้วยแถบข้าง ก่อนจะถูกพับโปรเจกต์ไป หลังโปรโมทได้เพียง 1 ปี หลังจากนั้นผ่านไป 20 ปี Converse นำ One Star มาโปรโมทอีกครั้ง เพราะเทรนด์รองเท้ากีฬาที่มาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ๆ ออกมาในตลาดกันให้พรึ่บ แต่ Converse เป็นเพียงแบรนด์เดียวที่ยังคงความคลาสสิคจากพื้นรองเท้าที่ไม่มีเทคโนโลยี ให้สัมผัสที่ดิบเถื่อน, ความทนทานจากวัดุหนังกลับ และราคาที่รองเท้าที่ค่อนข้างถูกซึ่งกลายไปลงล็อกกับกีฬาประเภทสเก็ตบอร์ดซะงั้น รวมไปถึงการทำการตลาดที่เจาะจงเข้าไปในกลุ่มผู้เล่นสเก็ตบอร์ดโดยเฉพาะ อย่างการลงโฆษณาในหนังสือ Thrasher Magazine การใช้ Spike Jonze ช่างภาพและผู้กำกับชื่อดังในการช่วยโปรโมต และมีนักสเก็ตชื่อดังมากมายสวมใส่ ทำให้มันได้รับความนิยมในทันที หลังจากผ่านช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ และการเข้ามาเทคโอเวอร์ของ Nike ปี 2003 ก่อนปี 2009 จะกลับมาปัดฝุ่นไลน์สินค้าสำหรับสเก็ตบอร์ดโดยเฉพาะภายใต้ชื่อ ‘CONS’ โดยนำรองเท้ารุ่นยอดนิยมอย่าง One Star ที่เป็นตัวชูโรงมาอัพเกรดวัสดุและเทคโนโลยีซัพพอร์ตที่เหมาะสำหรับกีฬาประเภทนี้โดยเฉพาะ ซึ่งไลน์สินค้า CONS วางขายโดยเน้นไปที่ร้านขายสินค้าสำหรับสเก็ตบอร์ดโดยเฉพาะ และรุ่นใหม่อย่าง LOUIE LOPEZ PRO และ CHUCK TAYLOR ALL STAR PRO ครับ.

.

อิทธิพลของ Converse ที่ส่งผลต่อ Music Culture.

นอกจากกีฬาที่ทำให้คนรู้จักแบรนด์ Converse แล้ว ปฎิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่ทำให้ความนิยมของแบรนด์เติบโตแบบก้าวกระโดด คงหนีไม่พ้น Pop Culture ซึ่งมีมาตั้งแต่ยุค 50's, 60's, 70's จนถึงปัจจุบัน ตั้งแต่อเมริกา, ยุโรป และเอเชีย เรียกได้ว่าส่งผลต่อ "ทั่วโลก" ก็ว่าได้ 

ยุค 50's

ยุคหลังสงครามหรือที่เรียกว่ายุค “Baby Boomer” ถ้าย้อนไปตอนนั้น เวลาพูดถึงรองเท้าผ้าใบ ความหมายมันคือรองเท้าลำลองที่เอาไว้สำหรับเล่นกีฬาหรือใส่เล่นๆแบบไม่คิดอะไร ถ้าจะออกไปงานที่ไหนจริงจังส่วนใหญ่ต้องเป็นรองเท้าหนัง การเลือกใส่รองเท้าผ้าใบดูหล่อ เท่ ในวันหยุดพักผ่อน โดยคนที่จุดกระแสในตอนนั้นคือ Badboy แห่งยุคอย่าง “James Dean” และสัญลักษณ์ความเท่อย่าง “Steve McQueen” เลือกโมเดล Jack Purcell กลายเป็นคนเริ่มเห็นภาพ Converse ในแง่รองเท้าไลฟ์สไตล์และแฟชั่นแบบจริงจัง มากไปกว่าการเป็นเพียงรองเท้าที่เอาไว้สำหรับเล่นบาสเล่นกีฬาเหมือนแต่ก่อนเท่านั้น

.

ยุค 60's - 70's

ยุคแห่งดนตรี "Rock and Roll" กับแฟชั่นกางเกงยีนส์ขาม้า ศิลปินรุ่นใหญ่ในยุคนั้น ”George Harrison” มือกีตาร์แห่งวงสี่เต่าทอง “The Beatles” ที่เป็นเหมือนต้นแบบจุดประกายให้กับนักดนตรีหลายๆคน ตอนเล่น Rooftop Concert ปี 1969 (คอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายของ The Beatles ที่จัดบนหลังคาตึก Appleอันโด่งดัง) เขาใส่รองเท้าผ้าใบ Converse Chuck Taylor สีดำตัดกับกางเกงขาม้าสีเขียวสุดจ๊าบออกมาเป็นชุดที่ดูเท่และโคตรจะ Iconของยุคสุดๆ มาในช่วงกลาง 70’s หน่อยๆเราก็ได้พบกับอีกหนึ่ง Rock Star ที่ชื่อว่า “Bruce Springsteen” นักดนตรีและนักแต่งเพลงมากฝีมือที่ไปถามคนอเมริกันคนไหนต้องรู้จักเขาอย่างแน่นอน เขามากับลุคง่ายๆใส่เสื้อกล้าม กางเกงยีนส์ ไว้หนวดเคราและรองเท้ Converse สีดำดูติดดิน พร้อมกับบทเพลงเนื้อหาโดนๆที่เป็นขวัญใจของคนอเมริกันชนชั้นทำงานในเวลานั้นสุดๆ ซึ่งเป็นช่วงเดียวกันกับที่ดนตรี Hard Rockกำลังครองตลาดมีวงแนวหน้าอย่าง “Led Zeppelin” มีนาย “Robert Plant” ผู้เป็นเหมือน Sex Symbol ในเวลานั้นรับหน้าที่นักร้องนำ เป็นภาพลักษณ์หนุ่มผมยาว หน้าตาหล่อ ใส่เสื้อผ้าผู้หญิงตัวคับติ้ว นุ่งยีนส์ขาม้า เข็มขัดหัวโตและ Converse สีแดงสด 

รวมๆแล้วเป็นการแต่งตัวที่ถือเป็นการทิ้งทวนก่อนจะจบยุคฮิปปี้อย่างแท้จริง

.

ยุค 80's - 90's

กระโดดมาต่อกันในช่วงเข้าสู่ยุค 80’s ในเวลานั้นฝั่งเกาะอังกฤษกำลังมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนแหกคอกที่เราเรียกสั้นๆกัยว่า “Punk” อยู่ เป็นที่ทราบกันดีว่าลุคชาวพังค์เขาต้องมาพร้อมกับบู๊ทหนังหรือพวกรองเท้า Combat ขอบหนาๆ แต่รู้ไว้ด้วยว่าตัวพ่ออย่าง Sid Vicious แห่งวง The Sex Pistol เขาก็เลือกใส่รองเท้าผ้าใบ Converse เท่ๆเหมือนกัน! จากพังค์นำมาสู่การขบถแห่งยุคสมัยใหม่ ปี 90’s กับการกำเนิดของดนตรีทางเลือก แน่นอนว่าไอดอล ของเด็กยุคเก้าศูนย์คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากนาย “Kurt Cobain” นักร้องนำแห่งวง Nirvana หนุ่มผมบลอนด์รูปหล่อ ที่มีสไตล์การแต่งตัวแบบ anti-fashion อย่างเสื้อเชิ้ตตัวโคร่ง กางเกงยีนส์ขาด จับคู่กับ Converse Chucks Taylor สีดำหุ้มข้อ และ One Star ตัวเขาชื่นชอบขนาดว่ามีภาพหลุดในวาระสุดท้ายของชีวิต เจ้าตัวก็ยังคงสวมใส่ Converse One Star แสดงความเป็นเจ้าพ่อแห่งยุค Alternative ได้อย่างมีคลาสสิคจริงๆ เรีกยว่าเป็น 2 รุ่นที่ขับเคลื่อนแบรนด์อย่างแท้จริงก็ว่าได้ครับ

.

ยุค 90's - Now

กลับมาพูดถึงรองเท้า Converse ในยุคปัจจุบัน พวกเขาก็ยังคงไม่หยุดอยู่กับที่ขยันพัฒนาตัวเองอยู่เรื่อยๆ ด้วยช่องทางการ Collaboration กับเหล่าดีไซน์เนอร์ชื่อดัง เกิดเป็น Converse ลายใหม่ๆมากมาย ยุคหลังๆมานี้เลยถือว่าโชคดีที่เรามี Converse ลายเพ้นต์ ลายปริ้นบนรองเท้า ทำออกมาให้คนใส่อย่างเราๆได้ Mix and Match กันสนุกมือ สำหรับคนที่ทำให้ Converse เกิดกระแส Collaboration นี้ขึ้นมาและโดดเด่นทันทีก็คือ “John Varvatos” ดีไซน์เนอร์ลูกครึ่งชาวกรีก-อเมริกัน เขาเป็นนักออกแบบชื่อแรกๆที่ Converseได้มอบหมายให้มาร่วมออกแบบให้ และมันก็ทำให้ทั้งเขาและแบรนด์ประสบความสำเร็จคู่กันเลยจริงๆ ซึ่งแต่ละรุ่นของ John Varvatos จะผลิตออกมาเป็น Limited Edition หลังจากประสบความสำเร็จกับ John Converse สานต่อกับอีกหลากหลายดีไซเนอร์ไม่ว่าจะเป็น JW Anderson, Rick Owens หรือ Kim Jones และอื่นๆที่จะเกิดขึ้น ช่วยยกระดับให้ Converse เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่เหล่า Fashionista ทั้งหลายจะมองข้ามไปไม่ได้

.

อิทธิพลของ Converse ที่ส่งผลต่อ Movie Culture.

ถ้าพูดในกันบทบาทภาพยนตร์ของ Converse รุ่นที่เห็นกันมาตลอดตั้งแต่ยุค 70, 80 และ 90 รวมถึงปัจจุบัน คงหนีไม่พ้น Converse All Star ซึ่งมีราวๆเกิน 1,000 เรื่อง เมื่อนับรวมซีรีส์เข้าไปด้วย 

โดบเรื่องที่ติดตาหลายคนอย่าง ปี 1969 Elvis Presley จาก Change of Habit, ปี 1976 Sylvester Stallone จาก Rocky, ปี 1985 Michael J. Fox จาก Back to the Future, ปี 1995 Leonardo DiCaprio จาก The Basketball Diaries, ปี 2004 Will Smith จาก I, Robot แม้แต่นักแสดงชายไทยอย่าง จา พนม จาก The Protector ในปี 2005, ใหม่ขึ้นมาหน่อยกับภาพยนตร์ และนิยายาอมตะอย่าง Harry Potter จากภาค the Order of the Phoenix ที่ฉายไปเมื่อปี 2007 หรือถ้าย้อนไป 10 ปีหลังคงมี 2 เรื่องที่ติดตาผู้เขียนอย่างซีรีส์ขวัญใจวัยรุ่นทั่วโลกอย่าง Stranger Things ที่ออนแอร์ครั้งแรก ปี 2016 และหนังที่เรีกยว่ามาก่อนกาลอย่าง Ready Player One ที่ฉายไปเมื่อปี 2018 มันแตกต่างเมื่อหนังเล่าเกี่ยวกับการเล่นเกมผ่าน VR โดยตัวละครหลักเลือกใส่รองเท้าที่มีดีไซน์คล้าย All Star แต่สิ่งที่ทำให้มั่นใจคือตัวพระเอกในเรื่องในชีวิตจริงก็เลือกใส่มันเช่นกัน จากแรงกระเพื่อมในปี 2021 มีข่าวเกี่ยวกับโลกเสือนจริง Metaverse ที่เรียกได้ว่าเหมือนเรามองเห็นภาพอนาคตจากหนังเรื่องนี้.

.

อิทธิพลของ Converse ที่ส่งผลต่อ Fashion Culture.

ทุกคนคงทราบกันดี Converse มีช่วงที่เกือบต้องปิดตัวลงหลังจากเจอกระแสธุรกิจเล่นงาน แต่เคราะห์ดีถูกเทคโอเวอร์กิจการทั้งหมดอโดย Nike และส่งผลต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ทั้งเรื่องการปรับโครงสร้าง และลดความเป็นกีฬาลง เพิ่มภาพลักษณ์ทางด้านแฟชั่นมากขึ้น เพิ่มความสดใหม่ทั้งด้านดีไซน์ด้วยลวดลายแปลกใหม่และเทคโนโลยีใหม่ จากฝั่ง Nike มาใช้ในรองเท้า รวมถึงการคอลแล็บกับแบรนด์ต่างๆ อีกมากมาย ซึ่งในปัจจุบันก็ยังมีให้เราเห็นอยู่เรื่อยๆ

.

ถึงตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นด้วยตัวเลขสถิติหรือด้วยความรู้สึกของคนก็ตาม คงไม่มีใครกล้าเถียงว่าConverse คือแบรนด์รองเท้าที่ประสบความสำเร็จที่สุดแบรนด์หนึ่งในโลก ความนิยมทั่วบ้านทั่วเมืองของ Converse มันคือผลลัพธ์ที่หล่อหลอมจากการเอาอย่างไอดอล และคนดังของวัยรุ่นที่เห็นได้ในหน้าประวัติศาสตร์สืบต่อๆกันมารุ่นต่อรุ่น จนทำให้ชื่อ Converse ทุกวันนี้เป็นมากกว่าชื่อรองเท้าไปแล้ว มันกลายเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมความเป็นอเมริกันที่ทั่วโลกเข้าถึงอย่างแท้จริง ดังนั้นหลังจากวิธีนี้สำเร็จผล การบุกฝั่งเอเชียด้วยวิธีการเดียวกันจึงไม่น่าแปลกใจ การจ้างไอดอล หรือคนดังจากอีกหนึ่งวัฒนธรรมที่เป็นที่นิยมในฝั่งเอเชียอย่าง "เกาหลี" (ขอยกเว้นญี่ปุ่นไว้ด้วยเนื่องจากเป็นประเทศที่พิเศษกว่าใครเพื่อนคือไลน์การผลิต Made in Japan ต่างกับประเทศอื่นตรงที่ พวกเขาตั้งตนเป็นแบรนด์ต่างหากของตัวเอง เพียงแต่ยังใช้ชื่อและลิขสิทธิ์ของแบรนด์เท่านั้น) ดังนั้นจะเห็นไอดอลคนดังทั้งหลายสวมใส่รองเท้าโมเดลใหม่ๆ ของ Converse อยู่เสมอทั้ง Run Star Hike, Run Star Motion หรือแม้กระทั่ง All Star Mule ซึ่งก็สร้างกระแสให้เหล่าสาวๆ เรียกร้องหากัน ถือว่าประสบความสำเร็จทีเดียว 

อ่านมามาตั้งนาน เชื่อว่าทุกคนต้องมี Converse สักคู่ไว้ครอบครอง และหาคู่ที่เป็นตัวคุณพร้อมที่จะสืบทอด pop culture ตั้งแต่ 50s กันแล้วหรือยัง ชาว Seeker.

Related Posts